AI-Powered Network Issue Tracker : กระบวนการพัฒนาระบบบันทึกปัญหาเครือข่ายด้วย AI No-Code

AI-Powered Network Issue Tracker : กระบวนการพัฒนาระบบบันทึกปัญหาเครือข่ายด้วย AI No-Code
บทความนี้นำเสนอแนวคิด กระบวนการ และบทเรียนรู้จากการสร้างระบบบันทึกปัญหาเครือข่าย (Network Issue Tracker) โดยอาศัยแนวทาง AI No-Code สองลักษณะ ได้แก่ (1) AI สร้างโค้ดให้ (AI-Generated Code) และ (2) การพัฒนาแบบลากวาง (Drag-and-Drop) แนวทางดังกล่าวช่วยลดเวลาพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญ เพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ และลดช่องว่างระหว่างผู้ใช้กับนักพัฒนา พร้อมข้อเสนอแนะในการขยายผลสู่ระบบบริการ IT แบบ One Stop Service สำหรับมหาวิทยาลัยรามคำแหง
1) บทนำ
การพัฒนาระบบสารสนเทศในสถาบันอุดมศึกษามักเผชิญข้อจำกัดด้านเวลา ทรัพยากร และทักษะการเขียนโปรแกรมของบุคลากร ขณะเดียวกัน ความต้องการใช้ระบบเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องมีกระบวนการพัฒนาแบบใหม่ ที่ช่วยลดคอขวดและเพิ่มประสิทธิภาพการส่งมอบงาน AI No-Code เป็นคำตอบสำคัญ
2) แนวคิด AI No-Code
2.1 AI สร้างโค้ดให้ (AI-Generated Code)
ผู้ใช้ระบุความต้องการด้วยภาษามนุษย์ ระบบ AI จะสร้างโครงสร้างแอปพลิเคชัน ฟอร์ม ฐานข้อมูล และตรรกะพื้นฐานให้อัตโนมัติ ลดขั้นตอนการเขียนโค้ดและการตั้งค่าระบบเบื้องหลัง เหมาะสำหรับการเริ่มต้นต้นแบบ (prototype) อย่างรวดเร็ว
2.2 แบบลากวาง (Drag-and-Drop Development)
ผู้ออกแบบสามารถลากคอมโพเนนต์สำเร็จรูปฟอร์ม ปุ่ม ตาราง รายงาน มาจัดวางบนหน้าจอเพื่อสร้าง UI และเวิร์กโฟลว์แบบเห็นผลทันที ช่วยให้ผู้ใช้ปลายทางมีส่วนร่วมในการออกแบบตั้งแต่ต้น
3) Prompt Engineering
หลักการออกแบบ Prompt ที่มีคุณภาพ
- ระบุเป้าหมายและบริบทให้ชัด (ใครใช้ ใช้ที่ไหน ใช้เพื่ออะไร)
- ระบุโครงสร้างข้อมูล อินพุต และข้อจำกัด (ชนิดข้อมูล ความยาว รูปแบบ)
- กำหนดผลลัพธ์ที่คาดหวังและรูปแบบเอาต์พุต
- ระบุเงื่อนไขเวิร์กโฟลว์/ทริกเกอร์/สิทธิ์เข้าถึง
- ใช้ตัวอย่าง (examples) เพื่อให้ AI จับความคาดหวังได้แม่นยำ
คลัง Prompt ภาษาไทย
ก) สร้างฟอร์มและฐานข้อมูล
- สร้างฟอร์มบันทึกปัญหาเครือข่าย โดยมีฟิลด์: ชื่อผู้แจ้ง (ข้อความ), หน่วยงาน (ข้อความ), เบอร์โทร (ตัวเลข), วันที่แจ้ง (วันที่), สถานที่/อาคาร (ข้อความ), รายละเอียดปัญหา (ข้อความยาว), แนบรูปภาพ (อัปโหลด 5 ไฟล์, สูงสุดไฟล์ละ 10MB) และบันทึกลงฐานข้อมูล
- กำหนดฟิลด์ SR Number แบบรันนิ่งอัตโนมัติ รูปแบบ SR2025XXXX เริ่มจาก 0001 เพิ่มขึ้นทีละ 1
- ตรวจสอบความครบถ้วนของฟิลด์บังคับ ก่อนบันทึก: ชื่อผู้แจ้ง, หน่วยงาน, รายละเอียดปัญหา
ข) เวิร์กโฟลว์อัตโนมัติ
- เมื่อมีการส่ง Ticket ใหม่ ให้ส่งอีเมลแจ้งเตือนไปยัง itsupport@rumail.com พร้อมแนบข้อมูล SR Number และรายละเอียดปัญหา
- เมื่อปรับสถานะเป็น 'เสร็จสิ้น' ให้ส่งอีเมลสรุปผลไปยังผู้แจ้ง พร้อมลิงก์สำหรับประเมินความพึงพอใจ
- สร้างกฎ SLA: งานประเภท 'อินเทอร์เน็ตช้า' ต้องรับเรื่องภายใน 4 ชม. ถ้าเกินให้แจ้งเตือนหัวหน้าทีม
ค) ส่วนติดต่อผู้ใช้ (UI)
- ปรับปุ่ม 'บันทึก' ให้มีสีฟ้าและขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมไอคอนบันทึก
- เพิ่มรายการแบบเลือก 'ประเภทปัญหา' เป็น: WiFi, LAN, อินเทอร์เน็ตช้า, อุปกรณ์เสีย
- เพิ่มหน้า Dashboard แสดงสถิติ: งานค้าง, กำลังดำเนินการ, เสร็จสิ้น
ง) ความปลอดภัยและสิทธิ์
- กำหนดบทบาทผู้ใช้เป็น Admin และ Staff: Admin แก้ไขได้ทุกฟิลด์, Staff แก้ไขได้เฉพาะงานที่ตนรับผิดชอบ
- ซ่อนข้อมูลส่วนบุคคล (เบอร์โทร/อีเมล) จากผู้ใช้ทั่วไป ให้แสดงเฉพาะผู้มีสิทธิ์
- บันทึก Log การแก้ไขทุกครั้ง: ผู้แก้ไข, เวลา, ฟิลด์ที่เปลี่ยนแปลง
จ) รายงานและการส่งออก
- สร้างรายงานสรุปงานรายวัน แยกตามประเภทปัญหา พร้อมจำนวนงานและเวลาปิดเฉลี่ย
- เพิ่มปุ่มส่งออกเป็น PDF/CSV ในหน้าแสดงรายการ
4) โครงสร้างและองค์ประกอบระบบ
โครงสร้างเชิงตรรกะ
- ชั้นนำเสนอผล (Web/Mobile UI) – สร้างด้วยเครื่องมือ No-Code
- ชั้นบริการและเวิร์กโฟลว์ – กำหนดกฎธุรกิจและตัวกระตุ้นเหตุการณ์ (triggers)
- ชั้นจัดเก็บข้อมูล – ฐานข้อมูลเชิงตาราง/สเปรดชีต หรือฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (เช่น MySQL)
- บริการเสริม – อีเมลแจ้งเตือน การอัปโหลดไฟล์ การลงลายมือชื่อดิจิทัล
ข้อกำหนดข้อมูลหลัก (Data Schema) ที่แนะนำ
- SR_Number, ชื่อผู้แจ้ง, หน่วยงาน, เบอร์โทร, วันที่แจ้ง, สถานที่/อาคาร, รายละเอียดปัญหา, ประเภทปัญหา, ช่องทางแจ้ง, ผู้รับผิดชอบ, สถานะ, วันที่เริ่ม, วันที่เสร็จ, ระยะเวลา(MTTR), ไฟล์แนบ
5) ขั้นตอนการดำเนินงาน
- กำหนดปัญหาและความต้องการร่วมกับผู้ใช้งาน (ระบุฟิลด์ ข้อจำกัด และผลลัพธ์ที่คาดหวัง)
- เลือกแพลตฟอร์ม No-Code/Low-Code และออกแบบด้วย AI ตาม Prompt
- กำหนดเวิร์กโฟลว์ การแจ้งเตือน และสิทธิ์การเข้าถึง
- ทดสอบกับผู้ใช้กลุ่มเล็ก เก็บข้อเสนอแนะแล้วปรับแก้แบบรวดเร็ว
- นำไปใช้จริงและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องตามข้อมูลการใช้งาน
6) ตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPI) และการประเมินผล
- เวลาพัฒนา (Lead Time) ลดลง ≥ 70% เมื่อเทียบกับกระบวนการเดิม
- MTTR เฉลี่ยของงานซ่อมเครือข่ายลดลงเมื่อมีการรวมศูนย์ข้อมูล
- อัตราการรับเรื่องภายใต้เวลา SLA
- คะแนนความพึงพอใจผู้ใช้ ≥ 4.2/5 ใน 3 เดือนแรก
- อัตราความถูกต้องของข้อมูลที่บันทึก (ความครบถ้วนของฟิลด์บังคับ)
7) ความปลอดภัยข้อมูลและ PDPA
- จัดระดับสิทธิ์เข้าถึงตามบทบาท (RBAC)
- บันทึก Audit Log ทุกการแก้ไขและการดาวน์โหลดไฟล์
- เข้ารหัสการรับส่งข้อมูลผ่าน HTTPS/SMTP TLS
- กำหนดระยะเวลาเก็บข้อมูลและวิธีลบตามนโยบายมหาวิทยาลัย
- ปิดบังข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับผู้ใช้ที่ไม่เกี่ยวข้อง (data minimization)
8) ความเสี่ยงและแนวทางบรรเทา
- Vendor lock-in ของแพลตฟอร์ม No-Code → เลือกเครื่องมือที่ส่งออกข้อมูล สคีม่าได้
- ข้อจำกัดของโมเดล AI และความเสี่ยงจากการสรุปผิดพลาด → ใช้ขั้นตรวจทานของมนุษย์ (human-in-the-loop)
- ความปลอดภัยของไฟล์แนบ → จำกัดชนิด ขนาดไฟล์และสแกนมัลแวร์
- ความเสี่ยงด้านความต่อเนื่องบริการ → กำหนดแผนสำรองและสำรองข้อมูลสม่ำเสมอ
9) แผนการขยายผล
- เชื่อมต่อระบบสินทรัพย์ IT เพื่อลิงก์อุปกรณ์กับ Ticket
- เปิด API สำหรับดึงสถิติไปยัง BI Dashboard ของมหาวิทยาลัย
- ขยายสู่ One Stop Service – IT Service Desk Pro (รวมทุกประเภทบริการ IT)
10) บทสรุป
AI No-Code ประกอบกับทักษะ Prompt Engineering ทำให้การพัฒนาระบบสารสนเทศภายในองค์กรทำได้รวดเร็ว ยืดหยุ่น และโปร่งใส เป็นแนวทางที่ยกระดับประสิทธิภาพการบริการและลดช่องว่างระหว่างผู้ใช้กับนักพัฒนา เหมาะสำหรับโครงการนำร่องและการขยายผลในระดับมหาวิทยาลัย
ภาพที่ 1
ภาพที่ 2
ภาพที่ 3
ภาพที่ 4
ภาพที่ 5
ภาพที่ 6
ภาพที่ 7
ภาพที่ 8
ภาพที่ 9
ภาพที่ 10
© Present By Watchara Junprine นักวิชาการคอมพิวเตอร์
ฝ่ายวิศวกรรมระบบเครือข่าย สถาบันคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง